Wednesday, December 13, 2006

มารายงานตัวตามสัญญาหลังจากผ่านไปแล้วสองเดือน เพิ่งจะมีเวลาได้มาอัปรูปที่มีขึ้นบล็อกก็วันนี้แหละ ทั้งที่จริงแอบเขียนเนื้อเรื่องไว้ตั้งแต่กลับมาจากทริปใหม่ๆ จนตอนนี้มันเก่าซะแล้ว 555 นี่ยังไม่นัปทริประยองต่อมาอีกนะเนี่ย ไว้ว่างๆ จะเอามาลงละกัน เอาล่ะ.. เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าเนอะ

วันแรกออกเดินทางจาก กรุงเทพ สู่ เชียงใหม่ หลังเลิกงานประมาณเกือบๆ 5 โมงเพราะรูดบัตรออกก่อนนิดหน่อย แต่กว่าจะออกจริงๆ ก็เกือบ 5โมงครึ่งเพราะต้องไปรอรับผู้โดยสารอีกคนนึง ออกมาปุ๊ปก็รถติดปั๊ปเลยอ่ะ นึกว่าจะแย่ซะแล้วแต่พอเข้าสู่สายเอเชียก็ดีขึ้น มีแวะรายทางสองครั้งเพื่อกินข้าวกับแวะหากาแฟกินนิดหน่อย ถึงปลายทางก็เกือบตีสองได้ เดินทางโดยสวัสดิภาพดีจ้า

ตื่นเช้ามาตอน 7 โมงกว่าๆ คงเพราะตื่นเต้นและอยากใช้เวลาให้คุ้มค่ากับการเดินทาง ทั้งที่กว่าจะเข้านอนก็เกือบตีสี่แล้วนะ กลัวว่าถ้านอนเยอะก็เสียดายเวลาที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาตั้งไกล หลังจากตื่นขึ้นมา แล้วก็เริ่มต้นด้วยการเดินร่อนทั่วบ้านเพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลง จากนั้นเมื่อกระเพาะเริ่มเคาะเรียก ได้เวลาไปเดินตลาดแถวบ้านหาซื้อข้าวเช้ามาปรนเปรอชาวคณะ (อันที่จริงตัวเองแหละ เพราะอยากกินอะไรก็ซื้อตามใจฉัน55) วันนี้ได้มื้อเช้าเป็นอาหารชาวบ้านที่อยากกินมานาน โดยเฉพาะน้ำพริก 5 บาท (ขายได้ไงเนี่ย?) กว่าจะกินเสร็จแล้วตัดสินใจได้ว่าจะเริ่มจากไหนดีก็โน่น..ปาเข้าไปเกือบ 11 โมงเช้า ได้เวลาออกจากบ้านแล้วสิ

จุดหมายปลายทางแรกของเรา คือ บ้านถวาย แหล่งขายสินค้าพื้นเมืองและผลิตภัณฑ์จากไม้ ที่นี่มีอะไรที่น่าสนใจเยอะมาก เห็นอะไรก็อยากได้ไปหมด ได้ใช้รึเปล่าไม่รู้แหละ รู้แต่ว่าชอบ 555 หลังจากที่เดินจ่ายเงินไปได้สักพักและเริ่มหนัก -_-" ก็มีเสียงสวรรค์โทรมาบอกว่าอย่าเพิ่งช้อปเยอะ เพราะยังมีอีกที่ ที่จะเรียกเงินออกจากกระเป๋าได้มากกว่านี้อีก เราก็เลย Stop Shopping แต่เพียงเท่านี้ แล้วรีบจับตัวชาวคณะที่มีสภาพไม่ต่างจากเรา ทั้งที่เพิ่งเดินได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง!! ทั้งหมดรีบมุ่งหน้ากลับบ้านไปตั้งหลักก่อน (ก่อนที่ทุกคนจะหมดตัวแถวนี้อ่ะดิ)

เกือบสี่โมงเย็น มีโปรแกรมที่ไม่คาดฝันผุดขึ้นมา นั่นคือ "ดอยอินทนนท์" หลังจากที่ตัดสินใจจะไปแล้วก็คิดจะไปค้างสักคืนเพื่อสัมผัสบรรยากาศบนดอย เราก็จัดกระเป๋าเสื้อผ้าและเสื้อกันหนาวติดตัวไป มีคนทักให้เอาผ้าห่มหนาๆ ไปด้วย แต่ทุกคนก็เฉยๆ เพราะอากาศตอนนั้นมัน ..โคตรร้อน.. เรียกว่ามองยังไงก็ไม่คิดว่ามันน่าจะหนาวได้เลย

กว่าจะถึงบนดอยก็เริ่มครึ้มๆ แล้ว อากาศเริ่มเย็นแล้วสิ ได้เวลามองหาที่พักสำหรับคืนนี้ แต่เนื่องจากมันเป็นช่วงวันหยุดยาวและยังมีงานพืชสวนโลกช่วยเรียกแขก คนเยอะมากๆ ทำให้หาที่พักไม่ได้เพราะเต้นท์เต็มหมด เอาล่ะสิ..จะนอนไหนวะเนี่ย หรือจะต้องหอบผ้าหอบผ่อนกลับไปนอนที่บ้านหว่า? หลังจากตามหาสักพักใหญ่จนเริ่มจะถอดใจกันหมด ก็ไปเจอที่พักเข้าโดยบังเอิญ แถมยังได้ทำเลเหมาะ อยู่ติดลำธาร ก่อกองไฟได้ เป็นส่วนตัวทีเดียว บรรยากาศเบื้องหน้าเป็นลำธารและแปลงดอกไม้อยู่ไกลๆ บรรยากาศด้านหลังเป็น Toilet view เหอๆๆ โชคดีที่มันไม่มีกลิ่นนะไม่งั้นแย่แน่ๆ

หาที่พักได้แล้วก็ถึงเวลาอาหารเย็น ซึ่งก็ใช้บริการร้านอาหารของที่พักนั่นแหละ บวกกับส้มตำจากเพิงข้างๆ กินเสร็จนั่งเม้าท์กันพักใหญ่ก็เดินไปเอาของที่รถแล้วก็พักผ่อนที่เต้นท์ตามอัธยาศัย ที่นี่ยิ่งดึกยิ่งหนาวเพราะงั้นทุกคนซักแห้งไปตามๆ กัน กลายเป็นว่าเอาของเก็บในเต้นท์แล้วทุกคนก็ออกมานั่งผิงไฟคุยกัน มีเสียงเพลงจาก Ipod ต่อพ่วงกับลำโพง creative ช่วยทำให้มันไม่เงียบเหงาเกินไป มีของกินเล็กๆ น้อยๆ แก้เหงาปากไปเรื่อยๆ จนเที่ยงคืนกว่าก็แยกย้ายกันไปนอน แรกๆ ผิงไฟก็ร้อนหรอกนะ แต่พอเข้านอนไปสักพักนึงกองไฟมอด อากาศหนาววว...ว มากกก..ก นอนสั่นทั้งคืน ที่ว่าจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันตอนตี5ก็ไม่มีใครตื่นสักคน (เพิ่งมารู้ว่าทุกคนตื่นตรงเวลาแต่ไม่มีใครออกมาข้างนอก เพราะมันหนาววว)

เริ่มต้นวันใหม่เมื่อฟ้าเริ่มสว่าง ล้างหน้าล้างตาเสร็จก็เดินไปกินกาแฟ "กาลาโต้" ที่ทางที่พักเค้ามีให้ ชื่อเท่ห์ๆ จนต้องถามอีกครั้งของเจ้ากาแฟหอมๆ นั้นมาจากการที่ลูกค้าฝรั่งเดินเข้าไปถามหากาแฟ แล้วทีนี้น้ำมันยังไม่ทันร้อนดี พูดง่ายๆ ว่ายังกินไม่ได้นั่นเอง คนงานพม่าก็บอกกับแขกที่มาพักว่า "กาแฟ กาลาโต้" หรือภาษาบ้านเราชัดๆ ก็คือ "กำลังต้ม" นั่นแหละ นักท่องเที่ยวก็เลยตั้งชื่อให้ตั้งแต่นั้นมา หลังจากกินกาแฟไปสักหน่อยก็เดินกลับมาที่เต้นท์ แล้วก็นึกได้ว่ายังมีซาลาเปาที่เหลือจากการขายที่บ้านถวายเมื่อวานอยู่ จะกินเย็นๆ มันก็กระไร เหลือบไปเห็นกองไฟเมื่อคืนอยู่ก็ลองไปเขี่ยๆ ดูเห็นมันยังร้อนอยู่นะ เราก็เลยเอาออกมาวางอุ่นบนกองไฟมอดๆ นั่นแหละได้ชื่อเพิ่มว่าซาลาเปา "กาลานื่อ" หรือ "กำลังนึ่ง" นั่นเอง สักพักเจ้าซาลาเปาที่ถูกลืมไว้บนกองไฟเริ่มส่งกลิ่นคุ้นๆ ออกมา เพราะมันกำลังเปลี่ยนตัวเองเป็นซาลาเปา "กาลาม่า" กำลังไหม้ -_-" ง่ะ ภาพนี้เป็นบรรยากาศลำธารหลังที่พักจ้า มีน้ำใสไหลเย็นดังซ่าๆ อยู่ตลอดคืน แอบหวั่นๆ ว่าจะมีการกลิ้งตกน้ำกันหรือไม่ เพราะมันก็ไม่ได้ไกลกันเท่าไหร่เลย แถมพื้นยังเป็นเคิร์ฟเอียงลาดลงไปเสียด้วย คิดเล่นๆ ว่าถ้าตกลงไปนะคงได้ลอยไปไกลเลยล่ะกว่าจะรู้สึกตัว 555


เมื่อรองท้องด้วยกาแฟและซาลาเปาแล้ว ก็เก็บของเตรียมตัวออกเดินทางต่อไป จุดหมายต่อไปก็คือสถานที่ท่องเที่ยวบนดอยอินทนนท์แห่งนี้นั่นเอง จุดแรกที่แวะวันนี้ก็คือสถานีอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาที่เค้าไว้วัดอุณหภูมิของสูงสุดแดนสยาม หลังจากแวะไปต่อแถวเล่นเก้าอี้ดนตรีแย่งห้องน้ำกันพักใหญ่ เลยแอบไปเล่น Termometer เค้านิดหน่อยด้วยการเป่าลมใส่ ทำให้ปรอทมันขึ้นไปอยู่ที่ 28 องศา ทั้งที่ความจริงมันก็แค่ 9 องศาเท่านั้นเอง 555 งานนี้มีคนงงไปหลายคน ทำไมมันแค่นี้เองฟระ


แล้วก็ไปเดินเล่นทางสำรวจธรรมชาติ "อ่างกา" ที่ต้องเดินเข้าไปในทางเดินป่า เพื่อไปดูธรรมชาติของป่าและมอส เฟิร์น ไลเคน อะไรพวกเนี้ย แล้วก็ยังมีอนุสาวรีย์ซากเฮลิคอปเตอร์ที่ตกลงมาระหว่างสำรวจป่าเมื่อปี 2514 (ตอนนั้นมันน่าจะกันดารมากๆ เลยนะ) ได้ยินว่าต้องตัดต้นไม้หลายต้นเพื่อเอาซากออกมาเลยล่ะ อากาศภายในป่าก็เย็นๆ ชื้นๆ กำลังสบายทีเดียว แต่พอออกมาข้างนอกเริ่มร้อนแล้วล่ะ กลับมาขึ้นรถอีกทีมุ่งสู่พระมหาธาตุนภเมทนีดล และ พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ พระมหาธาตุทรงดอกบัว ที่กองทัพอากาศสร้างถวายให้กับในหลวงและองค์ราชินีของเรา คนเยอะมากๆๆ แต่ดอกไม้สวยดีนะ เดินไม่นานเท่าไหร่ก็เริ่มหิวแล้วก็เลยกลับมากินข้าวที่พักเมื่อคืนอีกครั้งก่อนเดินทางกลับลงมาสู่เมืองอีกครั้ง


ขากลับแทบจะหลับตลอดทาง เพราะเมื่อคืนก่อนไม่ค่อยได้นอน เพราะหนาวมากๆ อีกทั้งนอนไม่พอมาหลายวันตั้งแต่วันก่อนขึ้นเชียงใหม่ด้วยซ้ำ ความเหนื่อยล้าเริ่มเข้ามาทำให้โทรม แต่ก็ไม่กล้าหลับเพราะเกรงใจคนขับรถ เค้าก็ไม่ค่อยได้นอนเหมือนกัน กว่าจะถึงบ้านก็เกือบบ่ายสองแล้ว อายน้ำอาบท่าแล้วก็หนีไปงีบสักพักทั้งพี่ทั้งน้อง ส่วนชาวคณะหลังจากฟิตทำความสะอาดบ้านก็ไปรวมตัวครีเอทผลงานกันอยู่จนเย็น เรียกว่าเราตื่นมาแล้วมานั่งเล่นเกมส์จนฟ้ามืดก็ยังไม่กลับมาเลย

กินข้าวเย็นเสร็จก็ได้เวลาออกไปร่อนข้างนอก สู่ตลาดนัดคนเดิน เริ่มเดินตั้งแต่วัดพระสิงห์ไปจนถึงประตูท่าแพ เดินไปช็อปไปจนขาลากเลย เพราะของเยอะมากๆ สวยๆ ทั้งนั้น คนก็เยอะมาก เหมือนกับเดินเปิดท้ายขายของเวอร์ชั่นไม้จิ้มฟันยันอพอลโลอ่ะ เดินจนเค้าปิดร้านกันก็เกือบเที่ยงคืนแล้วก็ไปหาของกินต่อที่ "ไมโลดิบ" ยอดฮิตของหลังมอ (ชอ) ชื่อแปลกๆ ใช่ม๊ะ ตัวจริงของมันก็คือน้ำปั่นใส่โอวันติลผงๆ นั่นแหละ ไอ้ที่รู้ว่ามีคนกินแบบเรานี่ก็แปลกแล้ว แต่ที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่านั้นก็คือ มันขายดีซะด้วยน่ะสิ 555 อิ่มแล้วก็กลับบ้านกัน ไปนั่งคุยกับพี่สาวสองต่อสองจนตีสามกว่าถึงจะลงไปนอน

ตื่นขึ้นมาตอนสายๆ เพราะเหนื่อยมาหลายวัน เริ่มต้นวันใหม่ด้วยข้าวซอยไก่ ฝีมือแม่บ้านประจำครอบครัว อย่างอร่อยเลยล่ะ เสียดายไม่ใช่เนื้อ แต่ก็อร่อยแล้ว กินเสร็จก็ออกไปช็อปปิ้งของฝากที่ตลาดวโรรส หรือที่คนแถวนี้เรียกกันว่า กาดหลวง ได้ของฝากกลับมาเต็มไม้เต็มมือ อย่างเช่น น้ำพริกหนุ่ม แคบหมู แหนม สตรอเบอรี่อบแห้ง แล้วก็เนื้อนึ่งหรือ จิ้นนึ่งของแม่ กลับมาเก็บของที่บ้านแล้วก็ออกไปตลุยงานพืชสวนโลกต่อ

ไปงานพืชสวนโลก คนเยอะมากๆๆๆๆ นี่ขนาดเป็นช่วงปลายของวันหยุดนะ คนยังเพียบเลย ไปถึงก็เกือบเย็นแล้วเดินได้ไม่ทั่วเท่าไหร่ แต่ก็ดีแล้วแหละ เพราะไปเร็วแดดร้อนก็ไม่ไหวอยู่ดี เราเองก็ชอบดูหรอกนะ แต่ไม่ชอบเดินโดยเฉพาะคนเยอะๆ อย่างนี้ด้วยแล้ว แค่เห็นก็เมื่อยแล้วล่ะ เอารูปมาให้ดูเป็นบางส่วนนะ

ออกจากพืชสวนโลกก็แวะกินข้าวที่ตลาดก่อนกลับเข้าบ้านด้วยความเมื่อยล้า กลับบ้านอาบน้ำแล้วก็ขนของบางส่วนขึ้นรถเตรียมตัวไว้ตอนเช้าจะได้ไม่รีบมาก โดยเราเป็นคนแรกที่หนีไปนอนตอนเที่ยงคืนกว่า เพราะต้องขับรถกลับคนเดียวตอนกลางวัน ส่วนอีกสองคนได้ยินว่านั่งคุยกันถึงตีหนึ่งกว่าเลย (แน่ล่ะสิ..ขากลับก็หลับกันหมดนี่หว่า ชั้นมันคนขับรถนี่)

เช้าวันสุดท้ายก่อนกลับตื่นขึ้นมาตอนเจ็ดโมง (ทั้งที่ตอนแรกว่าจะออกจากบ้านตอน 7 โมง แต่มันตื่นไม่ไหว) ไม่ต้องไปแวะพะเยาแล้วก็เลยออกสายหน่อยได้ ตื่นมาล้างหน้าล้างตา ไปอ้อนพี่สาว แล้วก็ไปกินข้าวซอยอีกมื้อหนึ่งก่อนออกจากบ้านตอน 9โมง กว่าจะพ้นลำพูนได้ก็โน่นเกือบ 9.40 แล้วเพราะรถเยอะมากๆๆๆ ขากลับนี่แวะตลอดทาง เพื่อซื้อของ เข้าห้องน้ำ กินข้าว กว่าจะถึงกรุงเทพได้ก็ 5 โมงครึ่งแล้ว กลับมาได้เรียบร้อยดีปลอดภัยจ้า

No comments: