Tuesday, January 18, 2011

ไม่ได้มาอัปเสียนาน (อีกแล้ว) วันนี้แวะเข้ามาดูก็เลยเอาทริปล่าสุดมาแปะละกัน

เพิ่งไปน้ำตกป่าละอูมาล่ะ ไม่ใกล้ไม่ไกลก็หัวหินนี่เอง ที่จริงการไปเที่ยวจังหวัดนี้ ถือเป็นรอบที่ 4 ของปีเลยนะเนี่ย แต่โชคดีอยู่อย่างนึงว่าไปพักแต่ละที่นั้นไม่ได้ซ้ำกันเลย อีกทั้งกลุ่มคนที่ไปด้วยก็คนละกลุ่มกันก็เลยไม่น่าเบื่อซะทีเดียว

จะบอกว่าทริปนี้เรียกว่าเป็นทริปที่หนักที่สุดในรอบปีก็ว่าได้ เดินเข้าป่าขึ้นเขากันหลายชั่วโมง โดนแมลงกัดต่อยซะก้นบวมไปเลย ไหนจะริ้วรอยขีดข่วนตามตัวอีกก็เยอะ แต่ก็สนุกนะ ไม่บ่อยนักที่ได้สนุกกับการอยู่กับธรรมชาติอย่างนี้ มีกลุ่มเพื่อนคอเดียวกันทำให้วันเวลาที่แสนเศร้าผ่านไปได้ไม่ลำบากนัก

ที่นี่ ที่พักคืนแรกของเรา เพิงที่เห็นนั้นแหละเป็นที่ๆ พวกเรานั่งกินนั่งเล่นกันจนดึกดื่นก่อนที่จะแยกย้ายไปอ้วกแตกอ้วกแตนกันตามสบาย 55+ อากาศตอนกลางคืนหนาวเย็นพอใช้ได้ แต่ก็ยังสามารถอาบน้ำเย็นได้ในตอนกลางคืน น่าเสียดายอย่างที่ MP3ที่มีมันไม่ได้เยอะนักทำให้เราต้องนั่งฟังเพลงเดิมๆ ซ้ำๆ จนแทบจะประกวดร้องเพลงได้แล้ว


น้ำตกป่าละอูใหญ่ ชั้น 5 ที่ใครๆ ก็ว่าสวย ซึ่งมันก็สวยจริงๆ น่ะแหละ น่าเสียดายไม่ได้เล่นเพราะน้ำเย็นมากๆ ไม่งั้นคงได้กระโดดลงไปคนละทีสองทีละมั๊ง



เส้นทางการเดินป่าของวันที่สอง ลำบากใช่เล่น
นี่ถ้าไม่ถามว่ากว่าจะเดินถึงน้ำตกอีก 30 กม ก็ไม่รู้ว่าจะพยายามเดินไปกันถึงแค่ไหน แล้วไปแล้วจะมีแรงเดินกลับกันรึเปล่าก็ไม่รูนะ


ลิง เอ๊ย ชะนี ป่า
นั่งจุ้มปุ๊กกินข้าวห่อใบบัวที่ลูกหาบหิ้วมาให้จากที่พัก หลังจากเดินๆๆ อยู่เกือบ 2 ชั่วโมง มันเป็นการนั่งกินข้าวที่สมบุกสมบันที่สุด กะอีแค่กินข้าว ทำไมพวกเราต้องพอกันเดินเข้าป่ามาขนาดนี้ด้วยฟระ! พอกินเสร็จก็เดินกลับซะงั้น 55+ สมกับการเดินป่าเพื่อมากินข้าวเลยจริงๆ


พรีเซ็นเตอร์กาแฟประจำวันนี้ ทำน่าเท่ห์ที่สุดในชีวิตกะกาแฟกระป๋อง รู้นะท่านว่าปกติไม่พิศมัยกาแฟแบบนี้หรอก แต่ทำไงได้ล่ะ มาเที่ยวป่าเขามีแค่กาแฟกระป๋องก็หรูแล้ว รึไง?


ทริปนี้สนุกสนานกับพอหอมปากหอมคอ ไว้เจอกันใหม่คราวหน้านะพี่น้อง!!

Sunday, May 09, 2010

ไม่ได้มาอัปเดตเสียนาน ระยะหลังเป็นสาวก FB ตามกระแสสังคม Online ซะจนลืมถิ่นเก่าไปซะแล้ว แหะๆ

ที่จริงก็ไม่เชิงหรอก เพียงแต่ใน FB มันได้ทักทายเพื่อนพ้องและสาวกทั้งหลายเยอะมากๆ ใครไปใครมาก็จะรับรู้กันได้อย่างไว แล้วเดี๋ยวนี้อะไรที่ "ลับเฉพาะ" ก็ไม่ค่อยจะมีสักเท่าไหร่ เลยไม่มีอะไรมาอัปเดตไว้แถวนี้

วันนี้มีรูปจาก dinner ล่าสุดของชาว MBA ณ ABAC ที่ "บ้านตากอากาศ" เนื่องในโอกาสอยากจะเม้าท์ และแจ้งข่าวการแต่งงานของ "พี่นู๋รัตน์" ขาแดนซ์ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 16 กรกฎาคมนี้ ณ โรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ซึ่งสถานที่แน่นอนก็คงจะรู้ในวันแจกการ์ดล่ะมั๊ง

....ยินดีด้วยนะพี่สาว^^....

นอกจากว่าที่เจ้าสาวที่กรีดตามาซะเด้งแล้ว ทุกคนก็เกือบๆ จะเหมือนเดิม เปลี่ยนแปลงตรงร่องรอยแห่งกาลเวลาที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย (ภายใต้แสงกลางคืน) เจอกันก็ยังฮากระจายเหมือนทุกที น่าเสียดายที่ "ตัวฮาขั้นเทพ" ติดภารกิจฟิชโช (เจ้าตัวเค้าเรียกว่างั้นนะ) ไม่งั้นคงมีมุกเรี่ยราดอีกเยอะเลยทีเดียวแหละ

เห็นรูปแล้วก็ใจหาย.. อดคิดไม่ได้ว่านี่เราไม่ได้เจอกันบ่อยๆ เหมือนสมัยเรียนมานานเท่าไหร่แล้วนะ (คร่าวๆ ก็น่าจะมี 7 ปี up ล่ะนะ..รึไง??) ยังไงซะเร็วๆ นี้คงได้มีการรวมตัวกันอีกครั้งในงานแต่งงานน่ะแหละ เสียดายก็แต่เจ้าสาวที่คงไม่มีโอกาสมาเสวนากับพวกเราสักเท่าไหร่ เพราะต้องรับแขกบ้านแขกเรือน แต่สำหรับพวกเราที่เป็น "แขกดอย" ก็คงไม่มีอะไรจะสนุกไปกว่าจับกลุ่มนั่งเม้าท์ฮากระจายอีกแล้วล่ะมั๊ง

"เวลา" มักจะผ่านไปเร็วเสมอในยามที่เราเผลอ จริงม๊ะ??

Wednesday, July 30, 2008

หายหน้าหายตาไปจากการอัปบล็อกเสียนาน (เท่าที่เห็นเฉพาะบล็อกนี้ปีครึ่งได้ล่ะมั๊งเนี่ย ก็ตั้งแต่สุขภาพกายและใจลุ่มๆ ดอนๆ แล้วยังมีการปรับเปลี่ยนผังที่นั่งใหม่ ทำให้ต้องมานั่งสบตา GM อยู่ทุกวันเลยมันเลยไม่ค่อยมี 'รมณ์มาทำอะไรสุนทรีย์อย่างนี้เท่าไหร่ T_T และหนักที่สุดคือมีการเก็บ record การใช้โปรแกรมต่างๆ ในเครื่องอีก เล่นมากพาลจะซวยได้ ก็เลยเป็นผลทำให้ไม่ค่อยมีจังหวะเหมาะๆ จะมาอัปเท่าไหร่นัก

พอดีวันนี้เรื่อยๆ แล้วก็เพิ่งขุดๆ ค้นๆ รูปจากการไปเที่ยวในเครื่องขึ้นมาดู เลยกะว่าเอามาแปะๆ ไว้ดูสักหน่อยก็ละกัน จะได้ไม่เงียบหายจนเกินไป แต่คราวนี้ไม่เน้นองค์ประกอบใดๆ มากนัก เอาแค่เขียนๆ วางๆ ให้อ่านรู้เรื่องก็พอ เพราะตอนนี้ความรู้ html อันน้อยนิด มันยิ่งน้อยลงเท่าหัวเข็มแล้วล่ะ อ๊ะ..อ๊ะ.. อย่าบอกว่าเว็บมันสำเร็จรูปแล้วทั้งหมดนะ เพราะมันไม่เชิงว่าจะได้ร้อย % นี่คะ บางอย่างก็ต้องมีการเอาความรู้เก่าๆ มา "อะ-แด๊ป" กันบ้างล่ะน่า

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาทางออฟฟิศจัดไปเที่ยว summer trip มาน่ะ เอ่อ.. เรียกว่า rainny trip น่าจะเหมาะกว่าเพราะตั้งแต่จัดมาไม่เคยได้ไปทันซัมเมอร์สักที ตัวเราเองก็ไม่ได้ไปแจมกะเค้ามาสองปีซ้อน พอปีนี้ ไม่อยากจะแฮตทริกง่ะ แล้วที่มันน่าสนใจดีซะด้วย ราคาขนาดนี้ถ้าให้ไปเองก็ท่าจะคิดหนักหน่อยล่ะ




เอารวมมิตรอาหารเที่ยงของวันแรกมาให้ชมกัน ร้าน "คุ้งกระพง" อยู่ตรงไหนสักที่ของชะอำนี่ล่ะ พอดีไม่ได้สังเกตเส้นทางสักเท่าไหร่ เพราะกำลังซึ้งกะไททานิคอยู่พอดี เค้าเรียกตอนรถจอดแล้ว ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเล้ยย ที่นี่อาหารอร่อยใช้ได้เลยค่ะ หรือเพราะหิวมากก็ไม่รู้


ถึงละโรงแรม Alila
ที่เช็คอินอยู่บนเนินหินอ่อน จะเรียกว่าอาการมันก็ไม่เชิงจะใช่ จะเป็นลานมันก็ไม่ใช่อีกล่ะ มี reception สาวสวยผมทองเสียด้วย คิดว่าคงมีต่างชาติเยอะล่ะค่ะ เพราะเท่าที่สังเกตุก็ไม่เจอแขกคนไทยเลย (นอกจากแก๊งส์กะเหรี่ยงอย่างพวกเรา) มาถึงก็เอา welcome drink มาให้ คนเสริฟก็น่ารักดีอ่ะนะ แต่งตัวง่ายๆ สบายๆ ดูแล้วเบาๆ ดี

รอกุญแจสักพักก็แยกย้ายไปเก็บของ ไปถึงก็สำรวจห้องพักซะหน่อย ที่นี่เค้าจะเน้นงานปูนดิบๆ ซะเป็นส่วนมาก อุปกรณ์ตกแต่งไม่มีอะไรมาก ออกเรียบๆ มี Apple TV เป็นตัวชูโรง เท่าที่เปิดดูมันก็เหมือนดู DVD น่ะแหละ แต่ทำอะไรได้มากกว่าหน่อยนึง อย่างเช่นมีการเก็บไฟล์หนังไว้ในตัวเครื่องได้ มีเพลงฟัง ประมาณนี้






ห้องน้ำที่นี่ใหญ่มากค่ะ ขนาดโดยรวมเท่าๆ กับห้องนอนเลย มีตู้วางของ ที่ชงกาแฟ และตู้เย็นอยู่ในนี้ ตรงข้ามกับตู้เสื้อผ้า กระจกบานใหญ่ พร้อมซิงก์น้ำแบบปูนๆ 2 อัน มีการเก็บซ่อนปลายก๊อกน้ำไว้ด้านหลังกระจกด้วย
ชักโครกขนาดนั่งสบายอยู่ในห้องประตูกระจกใสปิ๊งงง ทำธุระไป เสียวไป เพราะมันโล่งจัดไปหน่อย
อ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางห้อง พร้อมด้วยเกลือหอมเต็มกระปุก เอาไว้นอนแช่น้ำสบายๆ ยิ่งตอนกลางคืนเปิดไฟสลัวๆ ด้วยนะ แจ่มจริงๆ

รวมมิตรห้องน้ำสวยงาม





อันนี้ไฮไลท์ของที่นี่เลยนะ "Rain Shower" มันคือฝักบัวแบบฝังเพดาน เวลาเปิดมันก็จะไหลพรั่งพรูลงมาเหมือนฝนตก แล้วไหลลงพื้นปูนที่ออกแบบมาเพื่อระบายน้ำได้ดี แต่ว่า ถ้าแชมพูเยอะๆ มันก็ลื่นๆ อ่ะนะ ล้างยากใช้ได้เลย

มีเรื่องตลกๆ มาเล่าให้ฟัง เพิ่งได้ยินมาว่ามีกระทาชายอยู่นายหนึ่ง ด้วยความไม่สังเกตจึงไม่เห็นว่าม่านห้องน้ำมันมีสองชั้น พอถึงเวลาคุณชายก็เปิดฝักบัวแล้วก็ไปอาบน้ำก็ยืนโท่งๆ อย่างสบายใจ โดยไม่ได้คิดเลยว่าม่านมันบางงงง....ง แล้วยิ่งกลางคืนที่ข้างนอกมืดสนิท มองมาจะเห็น "ผู้ชายยืนอาบน้ำ" ได้ชัดขนาดไหน 555 ที่มารู้นี่เพราะเพื่อนร่วมห้องที่จะมาอาบต่อถามว่า เมื่อกี้ไม่ได้ปิดม่านเหรอ คริคริคริ คิดถึงสีหน้านายแบบละกัน

อ้อ..สุดท้าย ประตูห้องน้ำเป็นแบบบานเลื่อน ทำด้วยไม้ทั้งบาน และไม่มี "กลอนประตู" แต่อย่างใด หึหึ.. อาบน้ำอาบท่าก็ต้องระวังนิดนึง เดี๋ยวมีมือเปิดพรวดขึ้นมาจะกลายเป็นนางโชว์ได้

หลังจากสำรวจที่ทางเสร็จก็ออกไปเดินตระเวณดูสถานที่โดยรวมพักใหญ่ ก่อนจะออกไปทำกิจกรรมยามบ่ายที่ริมทะเล ก่อนจะมีเจ้าหน้าที่มาแจ้งว่าแขก (ฝรั่ง) บอกว่าเสียงดังรำคาญ 555 อย่างนี้ล่ะน๊า ฝรั่งไฮโซ ทนซะหน่อยก็ไม่ได้ ทำหน้าหงุดหงิดซะไม่มี

ส่วนมื้อเย็นเป็นอาหารไทย หน้าตาดี แต่รสชาติงั้นๆแหละ กินไปงั้นเอง เพราะยังคงอิ่มกะอาหารเบรคที่น่าตาดี รสชาติเยี่ยม เค้าทำเป็น canape ชิ้นเล็กๆ ใส่แก้วช็อต หรือไม่ก็เป็นเค้กชิ้นเล็กๆ แล้ววางไว้ที่เค้าท์เตอร์บาร์ อยากกินอะไรก็หยิบๆ กินเอง กำลังเหนื่อยๆ ด้วยแล้ว สบายใจ สบายท้อง

กินเสร็จก็แยกย้ายไปทำกิจกรรม บ้างก็ตั้งวงน้ำเต้า ปู ปลา, ป็อกเด้ง บ้างก็ไปว่ายน้ำในสระกลางที่เค้าให้ว่ายได้ถึง 9.00pm เนื่องจากมีไฟส่องสว่างใต้น้ำด้วย สระน่าว่ายเล่นนะถ้าไปกะคนสนิทชิดเชื้อจริงๆ แต่ไปกะชาวออฟฟิศอย่างนี้ไม่ไหวอ่ะค่ะ ส่วนข้าพเจ้าเลือกร้องเพลงอยู่ริมสระจ้ะ มีท่านประธานกะนายใหม่มาว่ายน้ำไปๆ มาๆ อยู่ใกล้ๆ วงเพลง ทำเอาสาวน้อย-ใหญ่ ที่ลงมาว่ายน้ำหนีกลับไปหมด เพราะกลัวงูญี่ปุ่น 555

หลังจากขับกล่อมเพลงวนไปๆ มาๆ อยู่ 2 รอบ (เพราะพี่ยิ่งมีเนื้อเพลงอยู่แค่เนี้ย!!) ก็ได้เวลาเก็บวงสลายตัว แล้วก็ไปเชียร์ AF ต่อที่ห้องสองสาว 'ใหญ่' จนดึกดื่นแล้วจึงกลับห้องตัวเอง

ตื่นแต่เช้า (เพราะโดนผีอำ) ไปเดินดูทะเล แดดเริ่มร้อน จึงหนีมานั่งๆ นอนๆ ริมสระน้ำนอก ดูรูมเมทวิ่งจ๊อกกิ้ง กลับห้องไปนั่งตากแอร์ก่อนจะออกไปกินอาหารเช้า set breakast ที่นี่แปลกดี ชื่อประหลาด ราคาแพง แต่อาหารน้อย รสชาติไม่ได้เรื่อง และช้ามากกกก ถึงแม้จะบอกว่าสั่งกี่ชุดก็ได้จนกว่าจะพอใจ แต่มันก็ช้าจนไม่อยากจะรออ่ะนะ



เดินเล่นกันสักพักก่อนจะกลับมาเก็บของแล้วมารวมกันใหม่ที่ล็อบบี้อีกครั้ง กว่าจะรวมตัวกันขึ้นรถได้อีกก็นานอยู่ ได้ยินว่าโรงแรมให้ voucher มาใบหนึ่งในนามบริษัท เป็นส่วนลด 20,000 บาท สำหรับการใช้จ่ายที่ยอด 100,000 ขึ้นไป เหอๆๆ ท่าจะได้ยากนะเนี่ย คืนละ 7,000 บาท ใครมันจะมาบ่อยๆ ล่ะน๊อออ

Tuesday, December 19, 2006

ตอนแรกว่าจะมา อัปบล็อกเชียงใหม่ที่ค้างๆ อยู่ให้เสร็จซะวันนี้ แต่ดูเหมือนบรรยากาศไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่ เพราะงานยุ่งแต่เช้า ไม่รู้เรื่องบ้าอะไรนักหนาเหมือนกัน รู้แต่ว่ามันพากันเบียด bandwidth สมองที่มีอันน้อยนิดของเราซะจนทำงานไม่ทันเลย (เพราะงั้นไม่ต้องคิดถึงงานราษฏร์อย่างนี้เลย ไม่มีเวลาเปิดเลยอ่ะ)

เอาล่ะ.. ไหนๆ ก็มาแล้ว เลยแวะเอารูปตอนที่ไปงานแต่งงานรุ่นพี่ที่ทำงานมาลงซะนิดนึง แสดงความอวบระยะสุดท้ายให้ดูกันจะๆ present ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อเวลา 4-5 ปีผ่านไปคนเราเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนี้เชียว..
เอารูปปัจจุบันก่อนละกัน
Free Image Hosting at www.ImageShack.us

แล้วเดี๋ยวจะเอารูปในอดีตมาโชว์ ขอเวลาไปค้นก่อนนะ..

Wednesday, December 13, 2006

มารายงานตัวตามสัญญาหลังจากผ่านไปแล้วสองเดือน เพิ่งจะมีเวลาได้มาอัปรูปที่มีขึ้นบล็อกก็วันนี้แหละ ทั้งที่จริงแอบเขียนเนื้อเรื่องไว้ตั้งแต่กลับมาจากทริปใหม่ๆ จนตอนนี้มันเก่าซะแล้ว 555 นี่ยังไม่นัปทริประยองต่อมาอีกนะเนี่ย ไว้ว่างๆ จะเอามาลงละกัน เอาล่ะ.. เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าเนอะ

วันแรกออกเดินทางจาก กรุงเทพ สู่ เชียงใหม่ หลังเลิกงานประมาณเกือบๆ 5 โมงเพราะรูดบัตรออกก่อนนิดหน่อย แต่กว่าจะออกจริงๆ ก็เกือบ 5โมงครึ่งเพราะต้องไปรอรับผู้โดยสารอีกคนนึง ออกมาปุ๊ปก็รถติดปั๊ปเลยอ่ะ นึกว่าจะแย่ซะแล้วแต่พอเข้าสู่สายเอเชียก็ดีขึ้น มีแวะรายทางสองครั้งเพื่อกินข้าวกับแวะหากาแฟกินนิดหน่อย ถึงปลายทางก็เกือบตีสองได้ เดินทางโดยสวัสดิภาพดีจ้า

ตื่นเช้ามาตอน 7 โมงกว่าๆ คงเพราะตื่นเต้นและอยากใช้เวลาให้คุ้มค่ากับการเดินทาง ทั้งที่กว่าจะเข้านอนก็เกือบตีสี่แล้วนะ กลัวว่าถ้านอนเยอะก็เสียดายเวลาที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาตั้งไกล หลังจากตื่นขึ้นมา แล้วก็เริ่มต้นด้วยการเดินร่อนทั่วบ้านเพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลง จากนั้นเมื่อกระเพาะเริ่มเคาะเรียก ได้เวลาไปเดินตลาดแถวบ้านหาซื้อข้าวเช้ามาปรนเปรอชาวคณะ (อันที่จริงตัวเองแหละ เพราะอยากกินอะไรก็ซื้อตามใจฉัน55) วันนี้ได้มื้อเช้าเป็นอาหารชาวบ้านที่อยากกินมานาน โดยเฉพาะน้ำพริก 5 บาท (ขายได้ไงเนี่ย?) กว่าจะกินเสร็จแล้วตัดสินใจได้ว่าจะเริ่มจากไหนดีก็โน่น..ปาเข้าไปเกือบ 11 โมงเช้า ได้เวลาออกจากบ้านแล้วสิ

จุดหมายปลายทางแรกของเรา คือ บ้านถวาย แหล่งขายสินค้าพื้นเมืองและผลิตภัณฑ์จากไม้ ที่นี่มีอะไรที่น่าสนใจเยอะมาก เห็นอะไรก็อยากได้ไปหมด ได้ใช้รึเปล่าไม่รู้แหละ รู้แต่ว่าชอบ 555 หลังจากที่เดินจ่ายเงินไปได้สักพักและเริ่มหนัก -_-" ก็มีเสียงสวรรค์โทรมาบอกว่าอย่าเพิ่งช้อปเยอะ เพราะยังมีอีกที่ ที่จะเรียกเงินออกจากกระเป๋าได้มากกว่านี้อีก เราก็เลย Stop Shopping แต่เพียงเท่านี้ แล้วรีบจับตัวชาวคณะที่มีสภาพไม่ต่างจากเรา ทั้งที่เพิ่งเดินได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง!! ทั้งหมดรีบมุ่งหน้ากลับบ้านไปตั้งหลักก่อน (ก่อนที่ทุกคนจะหมดตัวแถวนี้อ่ะดิ)

เกือบสี่โมงเย็น มีโปรแกรมที่ไม่คาดฝันผุดขึ้นมา นั่นคือ "ดอยอินทนนท์" หลังจากที่ตัดสินใจจะไปแล้วก็คิดจะไปค้างสักคืนเพื่อสัมผัสบรรยากาศบนดอย เราก็จัดกระเป๋าเสื้อผ้าและเสื้อกันหนาวติดตัวไป มีคนทักให้เอาผ้าห่มหนาๆ ไปด้วย แต่ทุกคนก็เฉยๆ เพราะอากาศตอนนั้นมัน ..โคตรร้อน.. เรียกว่ามองยังไงก็ไม่คิดว่ามันน่าจะหนาวได้เลย

กว่าจะถึงบนดอยก็เริ่มครึ้มๆ แล้ว อากาศเริ่มเย็นแล้วสิ ได้เวลามองหาที่พักสำหรับคืนนี้ แต่เนื่องจากมันเป็นช่วงวันหยุดยาวและยังมีงานพืชสวนโลกช่วยเรียกแขก คนเยอะมากๆ ทำให้หาที่พักไม่ได้เพราะเต้นท์เต็มหมด เอาล่ะสิ..จะนอนไหนวะเนี่ย หรือจะต้องหอบผ้าหอบผ่อนกลับไปนอนที่บ้านหว่า? หลังจากตามหาสักพักใหญ่จนเริ่มจะถอดใจกันหมด ก็ไปเจอที่พักเข้าโดยบังเอิญ แถมยังได้ทำเลเหมาะ อยู่ติดลำธาร ก่อกองไฟได้ เป็นส่วนตัวทีเดียว บรรยากาศเบื้องหน้าเป็นลำธารและแปลงดอกไม้อยู่ไกลๆ บรรยากาศด้านหลังเป็น Toilet view เหอๆๆ โชคดีที่มันไม่มีกลิ่นนะไม่งั้นแย่แน่ๆ

หาที่พักได้แล้วก็ถึงเวลาอาหารเย็น ซึ่งก็ใช้บริการร้านอาหารของที่พักนั่นแหละ บวกกับส้มตำจากเพิงข้างๆ กินเสร็จนั่งเม้าท์กันพักใหญ่ก็เดินไปเอาของที่รถแล้วก็พักผ่อนที่เต้นท์ตามอัธยาศัย ที่นี่ยิ่งดึกยิ่งหนาวเพราะงั้นทุกคนซักแห้งไปตามๆ กัน กลายเป็นว่าเอาของเก็บในเต้นท์แล้วทุกคนก็ออกมานั่งผิงไฟคุยกัน มีเสียงเพลงจาก Ipod ต่อพ่วงกับลำโพง creative ช่วยทำให้มันไม่เงียบเหงาเกินไป มีของกินเล็กๆ น้อยๆ แก้เหงาปากไปเรื่อยๆ จนเที่ยงคืนกว่าก็แยกย้ายกันไปนอน แรกๆ ผิงไฟก็ร้อนหรอกนะ แต่พอเข้านอนไปสักพักนึงกองไฟมอด อากาศหนาววว...ว มากกก..ก นอนสั่นทั้งคืน ที่ว่าจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันตอนตี5ก็ไม่มีใครตื่นสักคน (เพิ่งมารู้ว่าทุกคนตื่นตรงเวลาแต่ไม่มีใครออกมาข้างนอก เพราะมันหนาววว)

เริ่มต้นวันใหม่เมื่อฟ้าเริ่มสว่าง ล้างหน้าล้างตาเสร็จก็เดินไปกินกาแฟ "กาลาโต้" ที่ทางที่พักเค้ามีให้ ชื่อเท่ห์ๆ จนต้องถามอีกครั้งของเจ้ากาแฟหอมๆ นั้นมาจากการที่ลูกค้าฝรั่งเดินเข้าไปถามหากาแฟ แล้วทีนี้น้ำมันยังไม่ทันร้อนดี พูดง่ายๆ ว่ายังกินไม่ได้นั่นเอง คนงานพม่าก็บอกกับแขกที่มาพักว่า "กาแฟ กาลาโต้" หรือภาษาบ้านเราชัดๆ ก็คือ "กำลังต้ม" นั่นแหละ นักท่องเที่ยวก็เลยตั้งชื่อให้ตั้งแต่นั้นมา หลังจากกินกาแฟไปสักหน่อยก็เดินกลับมาที่เต้นท์ แล้วก็นึกได้ว่ายังมีซาลาเปาที่เหลือจากการขายที่บ้านถวายเมื่อวานอยู่ จะกินเย็นๆ มันก็กระไร เหลือบไปเห็นกองไฟเมื่อคืนอยู่ก็ลองไปเขี่ยๆ ดูเห็นมันยังร้อนอยู่นะ เราก็เลยเอาออกมาวางอุ่นบนกองไฟมอดๆ นั่นแหละได้ชื่อเพิ่มว่าซาลาเปา "กาลานื่อ" หรือ "กำลังนึ่ง" นั่นเอง สักพักเจ้าซาลาเปาที่ถูกลืมไว้บนกองไฟเริ่มส่งกลิ่นคุ้นๆ ออกมา เพราะมันกำลังเปลี่ยนตัวเองเป็นซาลาเปา "กาลาม่า" กำลังไหม้ -_-" ง่ะ ภาพนี้เป็นบรรยากาศลำธารหลังที่พักจ้า มีน้ำใสไหลเย็นดังซ่าๆ อยู่ตลอดคืน แอบหวั่นๆ ว่าจะมีการกลิ้งตกน้ำกันหรือไม่ เพราะมันก็ไม่ได้ไกลกันเท่าไหร่เลย แถมพื้นยังเป็นเคิร์ฟเอียงลาดลงไปเสียด้วย คิดเล่นๆ ว่าถ้าตกลงไปนะคงได้ลอยไปไกลเลยล่ะกว่าจะรู้สึกตัว 555


เมื่อรองท้องด้วยกาแฟและซาลาเปาแล้ว ก็เก็บของเตรียมตัวออกเดินทางต่อไป จุดหมายต่อไปก็คือสถานที่ท่องเที่ยวบนดอยอินทนนท์แห่งนี้นั่นเอง จุดแรกที่แวะวันนี้ก็คือสถานีอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาที่เค้าไว้วัดอุณหภูมิของสูงสุดแดนสยาม หลังจากแวะไปต่อแถวเล่นเก้าอี้ดนตรีแย่งห้องน้ำกันพักใหญ่ เลยแอบไปเล่น Termometer เค้านิดหน่อยด้วยการเป่าลมใส่ ทำให้ปรอทมันขึ้นไปอยู่ที่ 28 องศา ทั้งที่ความจริงมันก็แค่ 9 องศาเท่านั้นเอง 555 งานนี้มีคนงงไปหลายคน ทำไมมันแค่นี้เองฟระ


แล้วก็ไปเดินเล่นทางสำรวจธรรมชาติ "อ่างกา" ที่ต้องเดินเข้าไปในทางเดินป่า เพื่อไปดูธรรมชาติของป่าและมอส เฟิร์น ไลเคน อะไรพวกเนี้ย แล้วก็ยังมีอนุสาวรีย์ซากเฮลิคอปเตอร์ที่ตกลงมาระหว่างสำรวจป่าเมื่อปี 2514 (ตอนนั้นมันน่าจะกันดารมากๆ เลยนะ) ได้ยินว่าต้องตัดต้นไม้หลายต้นเพื่อเอาซากออกมาเลยล่ะ อากาศภายในป่าก็เย็นๆ ชื้นๆ กำลังสบายทีเดียว แต่พอออกมาข้างนอกเริ่มร้อนแล้วล่ะ กลับมาขึ้นรถอีกทีมุ่งสู่พระมหาธาตุนภเมทนีดล และ พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ พระมหาธาตุทรงดอกบัว ที่กองทัพอากาศสร้างถวายให้กับในหลวงและองค์ราชินีของเรา คนเยอะมากๆๆ แต่ดอกไม้สวยดีนะ เดินไม่นานเท่าไหร่ก็เริ่มหิวแล้วก็เลยกลับมากินข้าวที่พักเมื่อคืนอีกครั้งก่อนเดินทางกลับลงมาสู่เมืองอีกครั้ง


ขากลับแทบจะหลับตลอดทาง เพราะเมื่อคืนก่อนไม่ค่อยได้นอน เพราะหนาวมากๆ อีกทั้งนอนไม่พอมาหลายวันตั้งแต่วันก่อนขึ้นเชียงใหม่ด้วยซ้ำ ความเหนื่อยล้าเริ่มเข้ามาทำให้โทรม แต่ก็ไม่กล้าหลับเพราะเกรงใจคนขับรถ เค้าก็ไม่ค่อยได้นอนเหมือนกัน กว่าจะถึงบ้านก็เกือบบ่ายสองแล้ว อายน้ำอาบท่าแล้วก็หนีไปงีบสักพักทั้งพี่ทั้งน้อง ส่วนชาวคณะหลังจากฟิตทำความสะอาดบ้านก็ไปรวมตัวครีเอทผลงานกันอยู่จนเย็น เรียกว่าเราตื่นมาแล้วมานั่งเล่นเกมส์จนฟ้ามืดก็ยังไม่กลับมาเลย

กินข้าวเย็นเสร็จก็ได้เวลาออกไปร่อนข้างนอก สู่ตลาดนัดคนเดิน เริ่มเดินตั้งแต่วัดพระสิงห์ไปจนถึงประตูท่าแพ เดินไปช็อปไปจนขาลากเลย เพราะของเยอะมากๆ สวยๆ ทั้งนั้น คนก็เยอะมาก เหมือนกับเดินเปิดท้ายขายของเวอร์ชั่นไม้จิ้มฟันยันอพอลโลอ่ะ เดินจนเค้าปิดร้านกันก็เกือบเที่ยงคืนแล้วก็ไปหาของกินต่อที่ "ไมโลดิบ" ยอดฮิตของหลังมอ (ชอ) ชื่อแปลกๆ ใช่ม๊ะ ตัวจริงของมันก็คือน้ำปั่นใส่โอวันติลผงๆ นั่นแหละ ไอ้ที่รู้ว่ามีคนกินแบบเรานี่ก็แปลกแล้ว แต่ที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่านั้นก็คือ มันขายดีซะด้วยน่ะสิ 555 อิ่มแล้วก็กลับบ้านกัน ไปนั่งคุยกับพี่สาวสองต่อสองจนตีสามกว่าถึงจะลงไปนอน

ตื่นขึ้นมาตอนสายๆ เพราะเหนื่อยมาหลายวัน เริ่มต้นวันใหม่ด้วยข้าวซอยไก่ ฝีมือแม่บ้านประจำครอบครัว อย่างอร่อยเลยล่ะ เสียดายไม่ใช่เนื้อ แต่ก็อร่อยแล้ว กินเสร็จก็ออกไปช็อปปิ้งของฝากที่ตลาดวโรรส หรือที่คนแถวนี้เรียกกันว่า กาดหลวง ได้ของฝากกลับมาเต็มไม้เต็มมือ อย่างเช่น น้ำพริกหนุ่ม แคบหมู แหนม สตรอเบอรี่อบแห้ง แล้วก็เนื้อนึ่งหรือ จิ้นนึ่งของแม่ กลับมาเก็บของที่บ้านแล้วก็ออกไปตลุยงานพืชสวนโลกต่อ

ไปงานพืชสวนโลก คนเยอะมากๆๆๆๆ นี่ขนาดเป็นช่วงปลายของวันหยุดนะ คนยังเพียบเลย ไปถึงก็เกือบเย็นแล้วเดินได้ไม่ทั่วเท่าไหร่ แต่ก็ดีแล้วแหละ เพราะไปเร็วแดดร้อนก็ไม่ไหวอยู่ดี เราเองก็ชอบดูหรอกนะ แต่ไม่ชอบเดินโดยเฉพาะคนเยอะๆ อย่างนี้ด้วยแล้ว แค่เห็นก็เมื่อยแล้วล่ะ เอารูปมาให้ดูเป็นบางส่วนนะ

ออกจากพืชสวนโลกก็แวะกินข้าวที่ตลาดก่อนกลับเข้าบ้านด้วยความเมื่อยล้า กลับบ้านอาบน้ำแล้วก็ขนของบางส่วนขึ้นรถเตรียมตัวไว้ตอนเช้าจะได้ไม่รีบมาก โดยเราเป็นคนแรกที่หนีไปนอนตอนเที่ยงคืนกว่า เพราะต้องขับรถกลับคนเดียวตอนกลางวัน ส่วนอีกสองคนได้ยินว่านั่งคุยกันถึงตีหนึ่งกว่าเลย (แน่ล่ะสิ..ขากลับก็หลับกันหมดนี่หว่า ชั้นมันคนขับรถนี่)

เช้าวันสุดท้ายก่อนกลับตื่นขึ้นมาตอนเจ็ดโมง (ทั้งที่ตอนแรกว่าจะออกจากบ้านตอน 7 โมง แต่มันตื่นไม่ไหว) ไม่ต้องไปแวะพะเยาแล้วก็เลยออกสายหน่อยได้ ตื่นมาล้างหน้าล้างตา ไปอ้อนพี่สาว แล้วก็ไปกินข้าวซอยอีกมื้อหนึ่งก่อนออกจากบ้านตอน 9โมง กว่าจะพ้นลำพูนได้ก็โน่นเกือบ 9.40 แล้วเพราะรถเยอะมากๆๆๆ ขากลับนี่แวะตลอดทาง เพื่อซื้อของ เข้าห้องน้ำ กินข้าว กว่าจะถึงกรุงเทพได้ก็ 5 โมงครึ่งแล้ว กลับมาได้เรียบร้อยดีปลอดภัยจ้า

Monday, October 30, 2006


เหตุเกิดจากโทรศัพท์ยามเช้าจากบุคคลที่ไม่ได้ติดต่อมาแสนนานจนนึกว่าจะลืมไปแล้ว อยู่ๆ ก็โทรมาถามว่าเย็นนี้พวกแกว่างกันไหมจะชวนไปร้องเพลงเลี้ยงขอบคุณทริปเมืองจีนคราวก่อน (ซึ่งเราไม่ได้เกี่ยวด้วยเล้ย.. 555) แล้วก็โยนให้เราจอง Major Karaoke ซะงั้น เหมือนกะชั้นเป็นเจ้าแม่ 'เกะ งั้นแหละ ทุก่ทีเราก็เป็นลูกไล่ให้บรรดาเจ๊ๆ แกล่ะนะ แต่งานนี้ขอโยนคืนมั่งเหอะ ก็อยากเจอนะ แต่ขี้เกียจนัดว่ะ ดูมันยุ่งยากยังไงไม่รู้

หลังจากโยนงานเสร็จก็ไม่รับรู้อะไรแล้ว ไปเดินเที่ยวคลองถมฝั่งธนฯ สบายใจ แล้วก็กลับมานอนกลิ้งไปกลิ้งมาดับร้อนอยู่บ้าน ตกเย็นถึงเวลานัดแล้ว เรายังคงนั่งงม (ยืนงม) อยู่กับคอมพิวเตอร์เดี้ยงๆ อยู่เลย จนเพื่อนโทรมาถามว่าถึงไหนแล้วถึงจะได้จรลีออกมาตามนัด แล้วก็ไม่วายไปสร้างวีรกรรมให้เค้าอีก ด้วยความว่าเลิกเป็นเด็กแถบสุขุมวิทมาพักใหญ่ เลยไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เค้าเปลี่ยนแปลงไปไหนต่อไหนกันแล้ว จาก Major Thonglor กลายเป็น Major Ekkamai โดยไม่รู้ตัว (ว่าผิด) ทำเอาเพื่อนเกือบหนีกลับบ้านซะแล้ว ในที่สุดก็ไปถึงที่นัดหมายในเวลาไล่เลี่ยกัน จากนั้นก็ถูกประนามไปตามระเบียบ เออ.. ผิดก็ด้ายฟะ..
เอารูปผู้ร่วมขบวนการเก่าๆ มาให้ดู นอกจากแก่ขึ้นแล้วก็ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงอะไรกันมากนัก


นำโดยผู้หลงทางโดยการผิดพลาดโดยสุจริตของเรา 555 (ก็ไม่รู้นี่หว่าว่ามี Major Thonglor ด้วยอ่ะ) กลับจากเมืองจีนมาได้เดือนนึง หน้าหมวยเป็นหมีแพนด้าเมืองจีนเลย จริงๆ ก็หมวยอยู่แล้วล่ะ เหอๆๆ


รูปนี้ลูกพี่ใหญ่ เจอกันกี่ครั้งก็เหมือนเดิม ทั้งรูปร่างหน้าตาและการแต่งตัว ที่เปลี่ยนไปก็มีแต่ลายเสื้อเท่านั้นเองอ่ะ คนอะไรน้อไม่เคยเปลี่ยนไปเล้ยยย อ้วนเหมียนเดิม ;D


รูปนี้สาวหล่อสุด ที่เราก็ยังสับสนว่าตกลงเจ๊แกจะเอาไงแน่?? บางทีก็ทำสาวซะ บางทีก็แมนโคตรๆ แต่ทุกคนมองว่าเค้าแมนนะ หรือว่าเราจะเข้าไม่ถึงหว่า?


อีกคนที่แอบอยู่ข้างหลัง บุคคลไม่ประสงค์จะออกตัว คราวก่อนหวังดีประสงค์ร้าย หลอกเราไปรอบนึง ยังโกรธไม่หายเลย คนอาไรฟะ คิดเอง..เออเอง คราวนี้มาเจอกันอีกทีด้วยมาดอาเสี่ยสุดๆ เสื้อผ้าที่ใส่ size ผู้ชายล้วนๆ เพราะใส่ของผู้หญิงไม่ได้เลย (ถึงใส่ได้ก็น่าจะไม่เข้าอย่างแรง -_-")

Friday, October 13, 2006


ไปถึง8โมงกว่าตามประสาพวก ontime พอไปถึงแล้วไม่มีอะไรทำเลยยืนพิงรถเล่น วันนี้อากาศดีแดดออกทั้งวัน ร้อนโคตรๆ แต่ก็ดีกว่าฝนตกแหละนะ คนอื่นก็ไม่ต่างกันไม่รู้จะทำอะไรเลยยืนจับกลุ่มสุมๆ อยู่ด้วยกัน

ไหว้พระที่วัดชื่ออะไรก็ไม่รู้จำไม่ได้ รู้แต่ว่าเป็นวัดที่สองอ่ะ แดดร้อนมั่กๆ ตอนนี้ยังคงฟิตจุดธูปจุดเทียนอยู่ จำได้ว่าวัดนี้มีลูกนิมิตร 9 ลูกตั้งอยู่รอบๆ โบสถ์มีการแปะทองรอวันบรรจุลงหลุมด้วย เค้าบอกให้เดินวนตามเข็ม หรือ ทวนเข็มก็ไม่รู้ ถึงถามไปก็เท่านั้นแหละ เพราะก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเค้าหันหน้าไปทางไหนก่อน 555 เพราะงั้นลงรูปนี้แทนดีกว่า สาธุ... ขอให้สมปราถนาทุกประการด้วยเถิด..

อันนี้ไปให้อาหารปลาที่วัดเกาะ ปลาสวายตัวใหญ่ล่ำ ได้ยินเสียงกระซิบว่าถ้าซื้อตามตลาดตัวเป็นร้อย ..แต่นี่มันวัดนะเฟ้ย! มาทำบุญนะไม่ได้มาตกปลาไปทำกับข้าว -_-" แต่จะว่าไปมันก็ตัวใหญ่จริงๆ อ่ะนะ นึกถึงวีรกรรมเมื่อเก่าก่อนไปกินข้าวที่สวนอาหารที่มีเจ้าสวายพวกเนี้ยแหละเยอะมาก เห็นปากมันกว้างๆ เลยเทพรวดรวดเดียวหมดกระป๋องเลย พอมันรู้ตัวมันก็รีบบุ๋มๆๆ ดำน้ำหายไป ตัวไหนตัวนั้นไม่โผล่มาอีกเลย สันนิษฐานว่ามันคงอิ่มมาก ..ก็ถ้าไม่อิ่มคงท้องอืดตายแน่ๆ (ตกลงทำบุญหรือทำบาปกันแน่วะเรา) ซาดิสม์ฉิบ (-_-)

มีอยู่วัดนึงกำลังจะมีการยกโบสก์เก่าขึ้น เค้ามีการเดินลอดโบสถ์ด้วย ชื่อแปลกๆ วิธีก็แปลกด้วย เค้าให้เดินลงบันไดแล้วก็ลอดตัวโบสถ์เก่ามาขึ้นอีกฝั่งหนึ่ง ต้องเดินสามรอบและมีการสวดอธิษฐานด้วย เราก็สวดผิดๆ ถูกๆ อ่ะ ผิดจังหวะมั่งก็มี พื้นดินร้อนมากต้องเดินเท้าเปล่าด้วย

วันนี้เป็นวันตักบาตรเทโว มีการทำบุญกันใหญ่โต ชาวบ้านที่มาทำบุญก็เอาของใส่บาตรเยอะมากๆ เดินเข้าไปในโบสถ์เจอของกองอยู๋อย่างกะซุปเปอร์มาเก็ตแน่ะ แอบคิดไปว่าถ้าติดอยู่ในนั้นคงอยู่ได้เป็นเดือนโดยไม่อดตายแน่ๆ มีทั้งมาม่า นมกล่อง น้ำผลไม้ ปลากระป๋อง และสารพัดของที่นิยมเอามาใส่บาตรอ่ะ ไม่ได้ถ่ายรูปไว้เพราะมัวแต่คิดเฟื่องอยู่ ^_^

นี่วัดอะไรก็ไม่รู้ มุมมองเอียงๆ ก็สวยดีเนอะ ดูจากรูปแล้วฟ้าสวยมาก แล้ววันนั้นเหงื่อชุ่มเลยง่ะเหม็นเหงื่อตัวเองอย่างแรง กลับมาตัวดำเลยเรา ภาพสวยๆ กับแดดแรงๆ เป็นของคู่กันจริงๆ เห็นแดดจ้าทีไรถ่ายรูปสวยทุกทีแต่ไอ้คนถ่ายเนี่ยไม่อยากนึกถึงอารมณ์นั้นเลย มันร้อนสุดๆ (แต่รูปนี้เราก็ไม่ได้ถ่ายเองหรอกนะ ไม่มีกล้องดีๆ)

ก่อนกลับแวะชมสวนกล้วยไม้เลยได้ภาพดอกไม้สวยๆ มาชม (แม้ว่าจะไม่ใช่กล้องเราก็เหอะ 555) ว่าก็ว่าเหอะ ถ้ามาอยู่กะเราคงไม่ได้สวยอย่างนี้แน่ๆ อย่างเร็วสวยได้อีก 1 อาทิตย์ ไม่คุ้มค่าตัวแน่ๆ


รูปรวมก่อนแยกย้ายสลายตัว